[ กลับไปสารบัญ ]

ภาคที่ ๑,   ตอนที่ ๒

1.  เข้ารับราชการ,  พ.ศ. ๒๔๖๘

๙๘. เริ่มเข้ารับราชการ  (๒๔๖๘)
๙๙. ชีวิตในกรุงเทพฯ
๑๐๐. บิดาสร้างโรงพยาบาลสองแห่ง
๑๐๑. พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน
๑๐๒. เรื่องอื่นๆ ใน พ.ศ. ๒๔๗๐
๑๐๓. พ.ศ.๒๔๗๑
๑๐๔. ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ ก.ร.พ. และไปสอบไล่ข้าราชการในจังหวัดต่างๆ, พ.ศ.๒๔๗๒
๑๐๕. การปฏิบัติราชการ
๑๐๖. เรื่องอื่นๆ ใน พ.ศ.๒๔๗๒
๑๐๗. ตามเสด็จกรมพระจันทบุรีนฤนาถไปปีนังและสิงคโปร์
๑๐๘. เรื่องอื่นๆ ใน พ.ศ.๒๔๗๓
๑๐๙. สอบไล่ข้าราชการพลเรือนครั้งที่ ๒ และการไปสอบในภาคเหนือ

๙๘. เริ่มเข้ารับราชการ  (๒๔๖๘)

       วันที่ ๑๕ ธันวาคม (๒๔๖๘) อายุได้ ๒๑ ปี ๗ เดือน ๑๕ วัน บิดาได้พาข้าพเจ้าไปเฝ้ากรมพระจันทบุรีนฤนาถ เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ เพื่อรายงานตัวให้เข้ารับราชการ ทรงรับสั่งให้รับตำแหน่งเลขานุการสภาการฝิ่น แต่เงินเดือนในตำแหน่งนี้ไม่มีให้รับเงินเดือนในตำแหน่งผู้แยกธาตุของศาลาแยกธาตุไปก่อนเดือนละ ๒๐๐ บาท และให้ทำหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนพระองค์ด้วย ในหน้าที่สภาการฝิ่นข้าพเจ้าต้องศึกษาว่าเรื่องฝิ่นของเราดำเนินการอยู่อย่างใด แต่เดิมเป็นอย่างใด และเราได้ไปตกลงไว้กับสันนิบาตชาติอย่างใด และในการดำเนินกิจการต่อไปนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อปรึกษาหารือดำเนินการ กรรมการคณะนี้ ประกอบด้วยเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ เป็นประธาน ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ (ชาวอเมริกัน) ที่ปรึกษากระทรวงคลัง (ชาวอังกฤษ) อธิบดีกรมฝิ่น และอธิบดีกรมมหาดไทย เป็นกรรมการ ความลำบากของข้าพเจ้าก็คือเวลาประชุมมีฝรั่งพูดไทยไม่ได้ ๒ คน และมีคนไทยพูดฝรั่งไม่ได้อีก ๒ คน ข้าพเจ้าต้องคอยแปลกลับไปกลับมา แล้วยังมีเสด็จในกรมคอยกำกับการแปลของข้าพเจ้าอีกด้วย ทำให้ประหม่าและกลัวผิดมาก การเขียนรายงานก็ไม่ค่อยจะคล่อง เพราะยังใหม่แก่งานอยู่
        ความมุ่งหมายในการที่ทางการ ตั้งสภาการฝิ่นขึ้นนั้นก็โดยเหตุที่รัฐบาลของเราได้ไปตกลงที่สันนิบาตชาติว่าจะลดจำนวนผู้สูบฝิ่นให้หมดสิ้นไปภายในสิบปี สภานี้จึงต้องศึกษาว่าจะลดลงได้โดยวิธีใดบ้าง เช่นจดทะเบียนคนติดฝิ่นแล้วอนุญาตให้สูบแต่คนที่ติดแล้ว คนไม่เคยสูบไม่อนุญาตให้สูบ ร้านจำหน่ายฝิ่นและร้านสูบฝิ่นควรเป็นของรัฐบาลทั้งสิ้น ฯลฯ
        กลับมาได้วันสองวัน ก็ได้เริ่มเข้าไปเฝ้าพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ที่พระที่นั่งดุสิตในพระบรมมหาราชวัง ได้ไปพบพวกข้าเก่าๆ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รู้สึกเสียดายท่านเหลือเกิน ต่อจากนั้นก็ได้ไปเฝ้าพระบรมศพในเวลากลางคืนบ่อยๆ โดยมากไปกับบิดา
        ในฐานะที่เคยรับใช้สอยทูลกระหม่อมเอียดน้อยประชาธิปก เมื่อคราวท่านเสด็จอเมริกาเป็นที่พอพระทัยและชมเชยไว้ มาบัดนี้ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว จึงได้ไปเฝ้าที่พระที่นั่งบรมพิมานคืนหนึ่ง พอเสด็จลงก็ทรงทักแต่ไกลทีเดียว แล้วก็ยืนสนทนากับข้าพเจ้าอยู่ครู่หนึ่ง ทรงถามถึงทุกข์สุข การเดินทาง และการทำงานที่ไหน ฯลฯ
        บิดาได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่สมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จกลับมาถึงเมืองไทยใหม่ๆ เมื่อได้พบกับท่านได้เล่าให้บิดาฟังว่า เมื่อเสด็จผ่านอเมริกาได้พบกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ไปประจำพระองค์รับใช้สอยอยู่ ได้ทรงชมเชยว่าเป็นเด็กดีและคล่องแคล่วมาก
        กิจประจำวันโดยปรกติของข้าพเจ้าในตอนนี้มีดังนี้ เช้าตื่นนอนอาบน้ำแล้วเข้าไปรับประทานอาหารเช้าในตึกใหญ่ เสร็จแล้วราวเกือบสี่โมงเช้าไปทำงานที่กระทรวงพาณิชย์ ตอนกลางวันกลับไปรับประทานอาหารกลางวัน เสร็จแล้วกลับที่ทำงาน ตอนเย็นกลับบ้าน บางวันก็เล่นเทนนิสบ้าง บางวันก็ไปขี่รถเล่น บางวันก็ไปหาประจวบน้องสาวและหลานรุจิราที่บ้านนรสิงห์ ตอนกลางคืนก็เข้าโต๊ะรับประทานอาหารร่วมกับบิดามารดาและพี่น้องทุกคนที่ยังอยู่ในบ้าน คุยกันถึงเรื่องต่างๆ บิดาได้เล่าเรื่องการบ้านการเมืองของประเทศเราที่แล้วๆมาให้ฟัง ซึ่งข้าพเจ้าได้รับความรู้จากท่านมากทีเดียว
        ในราวกลางเดือนมกราคมได้ซื้อรถยนต์ใหม่คันหนึ่งชนิดเอสเซกส์ เป็นรถเปิดสองตอน เป็นรถยนต์คันที่สองในชีวิตข้าพเจ้า
        ในทางการเมืองเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯได้แต่งตั้งคณะอภิรัฐมนตรีขึ้นเพื่อเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ มีอำนาจเหนือคณะเสนาบดี คณะอภิรัฐมนตรีนี้ประกอบด้วยเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ๕ พระองค์โดยไม่มีสามัญชน ทำให้ข้าราชการและประชาชนรู้สึกมากว่านโยบายใหม่นี้เป็นการยกย่องเจ้านาย ผิดกับนโยบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งยกย่องทั่วๆไปคือทั้งเจ้านายและคนสามัญ
        สำหรับบิดาซึ่งเป็นเสนาบดีมาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว และนับว่าเป็นคนสำคัญ เพราะได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์มาแล้ว คือทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จึงเป็นเหตุให้เจ้านายชั้นผู้ใหญ่บางพระองค์ไม่พอใจที่จะให้คนสามัญธรรมดารับตำแหน่งสำคัญและมีอำนาจวาสนา เมื่อเหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้แล้วบิดาข้าพเจ้าจึงได้รับการบีบคั้นในทางอ้อมบ้าง ซึ่งผลที่สุดทนอยู่ในราชการไม่ได้ จึงได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีในปลาย พ.ศ.๒๔๖๘ นั้นเอง
        วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๖๙ กรมพระจันทบุรีนฤนาถทรงออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ไปเป็นอภิรัฐมนตรี และเป็นนายกสภาการคลัง จึงย้ายไปตั้งที่ทำงานที่กระทรวงพระคลัง ทั้งนี้ได้มีคำสั่งให้ข้าพเจ้าตามเสด็จไปเป็นเลขานุการของท่าน จึงได้ย้ายสังกัดไปอยู่กระทรวงพระคลัง คงรับเงินเดือนเท่าเดิม ราชการที่ต้องปฏิบัติในตอนนี้ก็คือทำหน้าที่เลขานุการของท่านในตำแหน่งต่างๆ ที่ท่านดำรงอยู่ ต้องติดต่อกับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และเสนาบดีกระทรวงต่างๆ ตามที่ท่านจะทรงใช้ไป เข้าร่วมประชุมและจดรายงานประชุมพิเศษต่างๆ ที่พระองค์ท่านได้รับมอบหมายจากคณะอภิรัฐมนตรี ฯลฯ ในการที่ทรงใช้ให้ไปเฝ้าเจ้านายชั้นผู้ใหญ่นั้นข้าพเจ้าลำบากมาก เพราะการเข้าเฝ้าเจ้าใหญ่นายโตบางที่ข้าพเจ้าต้องไปคอยตั้งหลายชั่วโมง เพราะพอเรายื่นนามบัตรให้คนรับใช้หน้าห้องเขามองดูหน้าข้าพเจ้าเห็นเป็นเด็กนิดเดียว แล้วก็ไม่มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนหลวงอะไรกับเขารอนานหน่อยก็ได้ ข้าพเจ้ารับสารภาพว่าตอนที่ถูกใช้ให้ไปหาใครแล้วต้องรอนานๆ นี้นึกอยากได้รับบรรดาศักดิ์เป็นอย่างมาก ถึงจะเป็นเด็กหน่อยก็เห็นจะไม่ต้องรอนานดังนี้

๙๙. ชีวิตในกรุงเทพฯ

       เวลากลางคืนในกรุงเทพฯ นี้ไม่มีสถานที่ใดเพลิดเพลินหรือสนุกเสียเลย โรงหนังที่มีอยู่ก็สกปรก เหม็น เลือดกัด ยุงกัด หนังดีๆ ไม่ค่อยจะมี ไม่ชวนใจที่จะให้ไปดูเลย โรงละครก็มีสภาพคล้ายๆ กับโรงหนัง คือสกปรก เหม็น เลือดกัด ยุงกัด แต่บางทีมีเพื่อฝูงมาชวนให้ไปดูก็เพื่อไปดูตัวละคร ซึ่งบางโรงเขาว่ามีนางเอกนางรอง "งามๆ" สถานที่อีกชนิดหนึ่งที่ชายหนุ่มชอบ ไปเที่ยวกันคือ "ซ่อง" หญิงคนชั่ว เขาว่ากันว่าในกรุงเทพฯนี้มี "ซ่อง" ชนิดที่ไม่จดทะเบียน หลายร้อยแห่ง สำหรับตัวข้าพเจ้าได้เคยถูกเพื่อนๆ ชวนไปเที่ยวตาม "ซ่อง" นี้เหมือนกัน แต่ขอบอกความจริงว่าไม่ชอบเลย เพราะรู้สึกว่าสกปรกมากๆ และน่ารังเกียจ นานๆไปเที่ยวสักครั้งก็พอไปกับเขาได้
        เมื่ออยู่อเมริกาเห็นฝรั่งเขานับถือตัวละครยังกับนางฟ้า คือรู้สึกเป็นเกียรติยศอย่างสูงเหลือเกินที่จะได้รู้จักกับดาราละคร และยิ่งเป็นเกียรติยศอันใหญ่ยิ่ง ถ้าได้พาเขาไปเที่ยวหรือพาไปเต้นรำได้ ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกเหมือนกับพวกฝรั่ง เช่นงานเต้นรำของมหาวิทยาลัยคราวหนึ่ง เพื่อนข้าพเจ้าไปทำอย่างไรไม่ทราบ ไปเชิญเอานางเอกละครซึ่งกำลังแสดงอยู่ในบอสตัน ชื่อ แมรีอีตัน เป็นนางเอกที่สาวและสวยจริงๆ มีรูปลงในหนังสือต่างๆ แทบทุกวัน มาเต้นรำที่มหาวิทยาลัยได้ เขาเข้ามาดึกแล้ว คือภายหลังละครเลิก นักเรียนทุกคนเห่อกันใหญ่รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย คืนวันนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาสเต้นรำกับเขาครั้งหนึ่ง รู้สึกมีความปลาบปลื้ม และต้องคุยเรื่องนี้ไปอีกตั้งหลายวัน แต่พอมาถึงเมืองไทยกลับตรงกันข้ามไปหมด คือรู้สึกว่าคนไทยไม่สู้จะยกย่องผู้มีอาชีพทางนี้ ดูคล้ายๆกับว่าเป็นอาชีพรับจ้างที่ต่ำ ออกไปแสดงอะไรต่ออะไรให้คนดู ช่างไม่มีความอับอาย ส่วนฝรั่งเขาถือเป็นอาชีพที่สูง เพราะต้องสามารถและมีศิลปะจึงจะทำอย่างนี้ได้ นี่แหละมันผิดกันตอนนี้ อย่างข้าพเจ้าจะลองพาดาราละครในเมืองไทยไปเที่ยว ก็เห็นจะถูกซุบซิบทั่วเมืองว่าเสียคนเสียแล้วออกเที่ยวกับนางละคร ความจริงที่มันผิดกันก็เห็นจะเป็นด้วยอัตราค่าจ้าง เป็นดาราละครในต่างประเทศได้ค่าจ้างสูงมาก จึงเป็นอาชีพที่มีผู้ยกย่องและผู้ที่จะได้ตำแหน่งนี้ต้องมีอะไรดีและต้องสามารถจริงจึงจะทำได้ แต่อัตราค่าจ้างในเมืองไทยสำหรับพวกนี้ค่อนข้างต่ำมาก จึงไม่มีใครยกย่อง และไม่มีใครอยากชิงตำแหน่ง ต่อไปข้างหน้าถ้าอัตราค่าจ้างของเราดีขึ้น อาชีพของเราในทางนี้ก็คงจะต้องดีขึ้นเป็นแน่
        พฤษภาคม ๒๔๖๙ เจ้าคุณรามฯ ประจวบ และรุจิรา เดินทางออกไปยุโรปบ้าน นรสิงห์จึงปิดเงียบ ทั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าเงียบหงอยไปอีกมาก
       วันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๙  ได้แต่งงานกับแม่ล้วน
        พฤศจิกายน ๒๔๖๙ อายุได้ ๒๒ ปี ๖ เดือนเศษ ได้รับพระราชทานยศเป็นรองอำมาตย์เอก
        ความสนุกสนานของข้าพเจ้ามีอีกอย่างหนึ่ง คือการเล่นดนตรีสากล โดยมากสมัครเล่นทุกแห่งที่เขาเชิญหรือขอร้องให้ไปเล่น ท่านจุลดิศเคยตามให้ไปเล่นถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่วังสมเด็จกรมพระยาดำรงครั้งหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้เล่นทั้งแบนโจและแซกโซโฟน นอกจากเล่นร่วมอยู่ในวงแล้วยังได้แสดงเดี่ยวถวาย คือเป่าแซกโซโฟน เพลง I love you ซึ่งเป็นเพลงในเรื่องละะครที่พระองค์ท่านได้ไปดูกับข้าพเจ้าในประเทศอเมริกาด้วยกัน รับสั่งว่ายังจำเพลงนี้ได้ และได้เล่นเดี่ยวแบนโจเพลง Indian Love Call ถวายอีกด้วย
        นอกจากนั้นยังได้เคยไปเล่นที่เวมเบลโฮเต็ลในคราวเขามีงานครั้งหนึ่ง และในคราวที่นักเรียนเก่ามหาวิทยาลัยอเมริกันได้มีการเลี้ยงประจำปีที่โฮเต็ลพญาไท (ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า) ก็ได้แสดงเล่นดนตรีร่วมกับละครสั้นๆ ที่ได้จัดให้มีขึ้น อนึ่งทางราชการกรมรถไฟได้จ้างข้าพเจ้าไปสอนวิธีเล่นดนตรีสำหรับเต้นรำแบบสมัยใหม่แก่วงดนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อเล่นประจำที่โฮเต็ลพญาไท โดยคิดค่าป่วยการให้ชั่วโมงละ ๑๐ บาท ได้ฝึกสอนอยู่หลายเดือน
        ในราวปลายปี ๒๔๖๙ ท่านจุลดิศได้ชวนไปเล่นดนตรีที่บ้านพระยาวิชิตสารสาตรนายทหารในกรมพระธรรมนูญ ซึ่งเป็นคนชอบฟังดนตรีที่สุด ผู้ที่ไปเล่นมีพระยาสาครสงคราม นายทหารเรือนอกราชการ ท่านผู้นี้เคยไปศึกษาที่ประเทศสวิส เล่นเปียโนเก่งมาก นายวุฒิ สุทธิเสถียร บุตรเจ้าคุณเมธาธิบดี นายเจียม ลิมปิชาติ และข้าพเจ้า รู้สึกว่าสนุกสนานครึกครื้นดี เล่นแล้วก็กินเลี้ยงกัน เลยจัดให้มีเป็นการประจำสัปดาห์ละครั้ง

๑๐๐. บิดาสร้างโรงพยาบาลสองแห่ง

       ใน พ.ศ.๒๔๖๙ นี้ได้มีพิธีเปิดโรงพยาบาลซึ่งบิดาข้าพเจ้าได้สร้างขึ้น ๒ แห่ง แห่งหนึ่งเป็นตึกคลอดบุตร ๒ หลังในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เรียกว่า "โรงพยาบาลของเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)" ค่าก่อสร้าง ๒ หลังนี้ตกประมาณ ๘๐,๐๐๐ บาท และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานครสวรรค์ได้เสด็จมาทำพิธีเปิด ส่วนอีกแห่งหนึ่งเป็นตึกสองชั้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เรียกว่า "โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)" ค่าก่อสร้างประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท หม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมสาธารสุขได้เป็นผู้ทำพิธีเปิด การที่ได้ไปสร้างที่จังหวัดสุพรรณบุรีก็เพราะจังหวัดนี้เป็นจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของบิดาและเป็นจังหวัดต้นตระกูลของข้าพเจ้า การไปจังหวัดสุพรรณบุรีเราได้ไปเรือขึ้นไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปเข้าประตูน้ำที่บ้านแพน ทางระหว่างบ้านแพนและประตูน้ำเจ้าเจ็ดซึ่งเป็นทุ่งนาตลอดทางนั้นอากาศสบายมาก น้ำใสน่าอาบ จากประตูน้ำเจ้าเจ็ดก็ขึ้นไปตามแม่น้ำสุพรรณผ่านบางปลาม้าถึงจังหวัด ที่จังหวัดนี้มีที่สักการะอยู่แห่งหนึ่งคือ วัดป่าเลไลย์ ทุกๆปีในเดือนสิบสองผู้คนจะได้มาจากจังหวัดต่างๆ มาในงานวัดนี้ เรือแน่นเต็มแม่น้ำ มีแข่งเรือ ตอนกลางคืนพวกเรือว่าเพลงเก่งๆ ก็แสดงตามลำแม่น้ำแถวหน้าจังหวัด สนุกสนานดี เป็นขนบธรรมเนียมที่ทำกันมานานแล้ว

๑๐๑. พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน

       ตำแหน่งราชการต้องรับตำแหน่งเพิ่มขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่งใน พ.ศ.๒๔๗๐ นี้ คือตำแหน่งเลขานุการกรรมการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ทั้งนี้โดยที่มีพระราชประสงค์จะให้มีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้น โดยให้เลือกเฟ้นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ารับราชการเช่น Civil Service Law ในต่างประเทศ ข้าพเจ้าต้องศึกษาระเบียบนี้ทั่วๆไปโดยตลอด คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ เป็นประธานกรรมการ และมีเสนาบดีกระทรวงต่างๆ หลายกระทรวงเป็นกรรมการ
        การร่างพระราชบัญญัตินี้สมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ขอให้สมเด็จกรมพระยาดำรง Mr. Stevens ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ Sir Edward Cook ที่ปรึกษากระทรวงการคลัง ทำบันทึกเสนอ ท่านทั้งสามได้ทำบันทึกเสนอไว้ดีมาก เป็นประโยชน์ในการร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังได้บอกล่วงหน้าถึงอุปสรรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย แต่ในที่สุดก็จะได้รับผลอย่างดี บันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงมีข้อความว่า เรื่องนี้ได้เคยคิดและเคยปรึกษากันไว้นานแล้ว ไม่ใช่เป็นของใหม่ ในฐานะที่พระองค์ท่านได้คุ้นกับการปกครองมามาก ทรงมีความเห็นว่าจะปฏิบัติได้อย่างใดบ้าง และจะมีอุปสรรคอย่างใดบ้าง ส่วนบันทึกของ Mr. Stevens ก็กล่าวถึงประวัติและวิธีการของสหรัฐอเมริกาในเรื่องนี้ เช่นให้มีการสอบแข่งขัน และการสอบแข่งขันนี้ให้มีอายุเวลาเมื่อพ้นกำหนดแล้วให้จัดสอบใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ค้นวิชาใหม่ๆ อยู่เสมอ สำหรับบันทึกของ Sir Edward Cook ก็กล่าวถึงประวัติและวิธีการของประเทศอังกฤษว่า เมื่อก่อนใช้พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับข้าราชการก็คือ Spoil System การบรรจุ เลื่อนขั้น ได้แก่ลูกท่านหลานเธอ และพวกประจบสอพลอต่อนักการเมือง ฯลฯ เมื่อเริ่มใช้พระราชบัญญัตินี้ก็ยังได้มีอุปสรรคอยู่เป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อพ้นอุปสรรคและมีความเคยชินแล้วได้ผลดีมาก คือราชการก็ได้คนดี Standard ของการศึกษาทั่วๆ ไปก็เขยิบฐานะขึ้นเป็นลำดับเพราะต่างคนต่างก็จะต้องเอาใจใส่ในการศึกษาของตนเพื่อได้แข่งขันชิงตำแหน่งและชิงการเลื่อนขั้นกับคนอื่นๆได้
        เรื่องการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นนั้น แต่ละประเทศเขาก็มีประวัติเรื่องราวและเหตุการณ์เกิดขึ้นแทบทุกแห่ง แต่เมื่อรวมเรื่องแล้วก็คงฟังได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นคล้ายคลึงกัน คือก่อนใช้พระราชบัญญัติเช่นนี้ในประเทศใดแล้วอำนาจการสั่งบรรจุ เลื่อนชั้น และการสั่งให้ออกของข้าราชการไปตกอยู่กับนักการเมืองผู้ทรงอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงความสามารถ ความชอบ ความผิด หรือพูดกันตรงๆ คือมีการเล่นพวกกันได้อย่างเต็มที่ ตามที่ทำการต่างๆก็เต็มไปด้วยลูกท่านหลานเธอของพวกนักการเมืองที่มีอำนาจ พวกเหล่านี้ไม่ต้องมีความรู้อะไรก็ได้ เหตุฉะนั้นจึงเต็มไปด้วยพวกประจบสอพลอ ฉะนั้นการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งมีหลักการสำคัญที่ว่า ๑. วางระเบียบการเลือกเฟ้นผู้ที่มีความรู้เข้ารับราชการ ๒. ผู้ที่มีความรู้ดีปฏิบัติงานได้ดีเป็นผู้ที่ควรได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง และเลื่อนเงินเดือน ๓. ให้ความคุ้มครองข้าราชการว่าถ้าไม่มีความผิดแล้ว ผู้มีอำนาจจะมาพาลไล่ออกกันง่ายๆ ไม่ได้ ฯลฯ เหล่านี้ เป็นการตัดอำนาจของนักการเมืองในส่วนสำคัญไปทีเดียวจึงเป็นเรื่องที่นักการเมืองทุกประเทศที่เห็นแก่ตัวมักจะไม่ใคร่สนับสนุน พระราชบัญญัตินี้ เป็นเรื่องที่กว่าจะผ่านไปได้ก็ด้วยความลำบากยากเย็น และเมื่อผ่านเป็นพระราชบัญญัติไปแล้วก็มีเหตุอันเป็นอุปสรรคอยู่มากหลาย เพราะเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า อำนาจการปกครองนั้นอยู่กับพวกนักการเมือง แต่ถ้าที่ใดนักการเมืองเป็นประชาธิปไตยแท้ และไม่เห็นแก่ส่วนตัวแล้วเขาก็ชอบพระราชบัญญัตินี้มาก เพราะเห็นแก่ส่วนรวมที่ให้ราชการได้คนดีใช้ ให้ข้าราชการได้รับความยุติธรรม
        เรื่องของการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ในบางประเทศ ถึงกับมีการพยายามฆาตกรรมก็มี ส่วนเรื่องอุปสรรคแล้วย่อมกล่าวได้ว่าทุกแห่งต้องมี บางประเทศกว่าจะเห็นผลก็ตั้ง ๑๐ ปีขึ้นไป คือเมื่อได้รับความเคยชินแล้วก็ชักจะเห็นผลในทางบุคคลก็ได้คนดีเข้าทำงาน ได้เลื่อนคนมีความสามารถขึ้น เอาแต่คนมีความผิดออก ให้ความคุ้มครองทุกๆคน ในทางการศึกษาก็ต้องยกสูงขึ้นเป็นลำดับ เพราะเมื่อเป็นการแข่งขันกันแล้วคนเรียนชั้นนั้นมีมากก็ต้องยกไป เอาชั้นสูงขึ้นไปอีก ดังนี้ ที่เป็นข้าราชการอยู่แล้ว ก็ต้องแสวงหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นต่อไป

๑๐๒. เรื่องอื่นๆ ใน พ.ศ. ๒๔๗๐

๑. วันอาทิตที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๗๐  เวลา ๓.๒๖ ก.ท.  หนูสุมนเกิดที่เรือนเขียวหลังเล็กภายในบ้านศาลาแดง
๒. บิดาและมารดาข้าพเจ้ามีความปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะให้ข้าพเจ้าได้บวชในพระพุทธศาสนาสักพรรษาหนึ่ง ตัวข้าพเจ้าเองก็สมัครใจที่จะบวชเพราะเป็นขนบธรรมเนียมของเมืองไทย ถ้ายังไม่ได้บวชแล้วเขาว่ายังเป็นคนดิบอยู่ จึงเตรียมตัวพร้อมที่จะบวชในปี ๒๔๗๐ พร้อมกับคุณประสาท และได้ตั้งต้นท่องคำขออุปสมบทไปมากแล้ว แต่เมื่อใกล้เวลาบวชเข้า ได้มีเจ้านายบางพระองค์ทรงทักว่า ตามธรรมเนียมแล้วพี่น้องท้องเดียวกันเขาไม่บวชพร้อมกัน การบวชของข้าพเจ้าจึงต้องชะงักไป
๓. ในระหว่างปีนี้บิดาได้เปิดให้มีการกู้เงินที่สุพรรณ โดยรับนาเป็นประกัน ทั้งนี้ก็เป็นการช่วยเหลือชาวนา คือชาวนาของเราส่วนมากเป็นผู้ที่ไร้การศึกษา และมีนิสัยชอบเล่นการพนัน ฉะนั้น เงินจึงไม่พอใช้ ต้องไปกู้จากจีนพ่อค้า ซึ่งพวกพ่อค้าเหล่านั้นเรียกดอกเบี้ยรุนแรงมาก ชาวนาของเราจึงต้องเดือดร้อน นอกจากต้องเหน็ดเหนื่อยในการทำนาแล้ว ยิ่งทำไป นาก็หลุดเป็นของคนอื่น ต้องเปลี่ยนสภาพเป็นเช่านาทำ ฯลฯ ผลที่สุดก็หนี้สินล้นพ้นตัว ดังนี้ บิดาได้มอบให้นายชม สุวรรณศร ซึ่งเป็นหลานและเป็นชาวสุพรรณเป็นผู้จัดการ และท่านได้มอบให้ข้าพเจ้าขึ้นไปตรวจบัญชีทุกๆ ๓ เดือน ข้าพเจ้าจึงได้วางรูปบัญชีให้ และได้จัดซ่อมเรือยนต์ลำหนึ่ง โดยซื้อเครื่องใหม่ใส่ ทำห้องนอน ห้องน้ำและครัว สำหรับเดินทางไกลได้อย่างสบาย การไปมานี้ได้ใช้ในเวลาหยุดราชการ หรือไปวันเสาร์กลับวันจันทร์ แล้วมักจะชวนเพื่อนฝูงไปสนุกกันด้วย
๔. เดือนกันยายน พระยาวิชืตสรสาตร์ (อำนวย อมาตยกุล) ถึงแก่กรรมเนื่องจากหัวใจพิการ ข้าพเจ้าได้ไปช่วยเป็นธุระเท่าที่จะทำให้ได้
๕. เดือนพฤศจิกายน อายุได้ ๒๓ ปี ๖ เดือนเศษ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสุขุมนัยประดิษฐ
๖. วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๔๗๐ ได้แต่งงานกับแม่เพิ่มศิริ ที่วังกรมพระจันทบุรีนฤนาถ เมื่อแต่งงานแล้วก็เลยไปพักที่บ้านมักกะสัน
๗. ใน พ.ศ.๒๔๗๐ นี้ ได้มีหมู่นักเรียนอเมริกันมาหมู่หนึ่งเป็นจำนวนหลายร้อยคน มาโดยเรือเดินมหาสมุทรพิเศษ ทั้งลำเรือนี้มีเฉพาะนักเรียนเท่านั้น เดินทางรอบโลก ซึ่งเราเห็นว่าเป็นการศึกษาที่ดีที่สุด ทางรัฐบาลไทยได้ตกลงจัดการรับรองเท่าที่ควร ทั้งก็โดยมีนโยบายที่จะให้เด็กหนุ่มอเมริกันได้รู้จักเมืองไทยว่าเป็นประเทศเอกราชเล็กๆตั้งอยู่ในทวีปเอเซียนี้ เพราะชาวอเมริกันส่วนมากไม่ใคร่จะรู้จักเมืองไทยเสียเลย โดยเหตุที่ว่าเรือลำนี้เป็นเรือขนาดใหญ่จึงต้องจอดนอกสันดอน ทางรัฐบาลเราได้สั่งให้กระทรวงทหารเรือจัดเรือออกไปรับนักเรียนเหล่านี้จากเรือใหญ่ ข้าพเจ้าได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับรองคนหนึ่ง และก็ได้ออกไปรับถึงเรือใหญ่ แล้วนำนักเรียนเหล่านั้นเข้ามาเที่ยวชมพระนคร ในบรรดานักเรียนที่มานี้มีคนหนึ่งชื่อ วอเนอร์ เคยร่วมอยู่โรงเรียนกันเนอรีด้วยกันมา ดีใจกันมากที่ได้พบกัน นักเรียนเหล่านี้ได้พักชมกรุงเทพฯ อยู่เพียงวันเดียวเท่านั้น คือ เข้ามาตอนเช้าแล้วกลับตอนกลางคืน ทั้งนี้ เพราะเราไม่มีโรงแรมหรือที่ทางให้เขาพัก น่าเสียดายมาก เพราะอันที่จริงในกรุงเทพฯ นี้มีสถานที่ๆ พอจะอวดเขาได้หลายแห่ง คือ เป็นที่สวยงามหรือแปลกที่ไม่มีเหมือนในประเทศอื่นๆ เช่น วัดวาอารามและพระราชวัง และสถานที่อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแบบไทย
๘. คุณประสบ นายเจียม และข้าพเจ้า ได้ร่วมทุนกันตั้งร้านขึ้นร้านหนึ่งเรียกว่า ดนตรี กีฬาพาณิชย์ คุณประสบและนายเจียมลงทุนคนละ ๒,๐๐๐ บาท ข้าพเจ้าลงทุน ๔,๐๐๐ บาท ร้านตั้งอยู่ถนนดินสอ ขายเครื่องหีบเสียง แผ่นเสียงเครื่องดนตรีทุกชนิดและเครื่องกีฬาทุกชนิด โดยสั่งของมาจากต่างประเทศ
๙. ปลาย พ.ศ.๒๔๗๐ ได้ซื้อรถยนต์ใหม่เป็นคันที่สามในชีวิตข้าพเจ้าชนิดเอสเซกส์เหมือนคันก่อน แต่เป็นรถเก๋งสองตอน ส่วนรถคันเก่าได้ขายต่อไป
๑๐. ในการขึ้นไปตรวจบัญชีเงินกู้ที่จังหวัดสุพรรณบุรีคราวหนึ่ง เวลาจะออกเรือกลับ ได้พบหลานชาย ตั๋น สุวรรณศร อายุประมาณ ๑๐ ขวบ บุตรพระยาสุนทรสงคราม กำลังอาบน้ำอยู่ ข้าพเจ้าได้ชวนมาอยู่กรุงเทพฯด้วยกัน แกดีอกดีใจรีบตอบรับแล้วขึ้นไปจัดของ แล้วข้าพเจ้าก็ได้ไปขอกับมารดาเขา ซึ่งท่านก็ยินดีให้มา ข้าพเจ้าได้รับมาเลี้ยงไว้เสมือนเป็นบุตรคนโตตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

๑๐๓. พ.ศ.๒๔๗๑

       วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๑ อายุได้ ๒๓ ปี ๑๑ เดือน ได้รับเงินเดือนขึ้นเป็นเดือนละ ๒๕๐ บาท
      ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเสด็จในกรมพระจันทบุรีนฤนาถ ได้ทรงคิดถึงการภายหน้าของข้าพเจ้าและคงอยากให้ได้ทำราชการเป็นหลักฐานใหญ่โตต่อไปในกรมฝิ่น จึงให้ข้าพเจ้าไปเรียนงานในกรมฝิ่นอาทิตย์ละสองครั้ง คือ เวลาที่ท่านไปประชุมอภิรัฐมนตรีเช้าวันหนึ่งและไปประชุมเสนาบดีเช้าอีกวันหนึ่ง (อภิรัฐมนตรีเข้าประชุมเสนาบดีด้วย) ให้ดูงานของทุกๆ แผนก กรมฝิ่นตั้งอยู่ที่โรงงานต้มฝิ่น (สามเสน) ฉะนั้นเวลาไปนั่งที่นั่นก็เลยได้ดมกลิ่นฝิ่นด้วยตลอดเวลา ข้าพเจ้าได้ขอเขาดูงานทุกแผนก
       ในประเทศไทยนี้ไม่มีวงดนตรีเต้นรำดีๆ เลย เพราะความนิยมในการเต้นรำยังมีน้อย นิยมกันแต่ในวงสมาคมของฝรั่ง หรือคนไทย (ชาย) บางคนที่กลับมาจากต่างประเทศ แต่ฝ่ายหญิงแล้วหาที่เต้นรำเป็น เป็นส่วนน้อย เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงใหม่ๆมีอยู่วงหนึ่งเล่นประจำอยู่ที่สปอร์ตคลับเพียง ๕-๖ คน หัวหน้าวงเขาเห็นข้าพเจ้าเล่นเทเนอร์แบนโจ เขาว่าฝีมือดี ขอให้ไปช่วยเล่นรวมกับเขาด้วย เขาให้ครั้งละ ๑๐ บาท ข้าพเจ้าเป็นคนสนุกและชอบเล่นดนตรีมาก จึงได้ไปร่วมเล่นกับเขาเสมอ ต่อมาจึงได้ตั้งขึ้นเอง วงหนึ่ง เรียกว่า "เรนโบคลับ" คัดเลือกพวกเล่นดีๆ รวมทั้งได้ชวนนายเจียม ลิมปิชาติ นายวุฒิ สุทธิเสถียร มาเข้าวง และตัวข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าวงร่วมเล่นอยู่ด้วย ดนตรีวงนี้มีเพียง ๘ คนเท่านั้น คือ นายนารถ ถาวรบุตร เล่นเปียโน นาย สาลี่ กล่อมอาภา เล่น กลอง นาย วุฒิ สุทธิเสถียร เล่นซอ นาย เจียม และ นาย ชั้น เล่นแซกโซโฟน นาย จำปา เล้มสำราญ เล่นทรัมเปต นาย เพิ่ม เล่นเบส ข้าพเจ้าเล่นแบนโจ ดนตรีวงนี้นักเต้นรำ นิยมกันมาก เพราะเราเล่นอย่างแบบใหม่ เราได้รับเหมาให้เล่นประจำที่โฮเต็ลพญาไทสปอร์ตคลับ ส่วนสถานที่อื่นๆ ก็ได้ว่าจ้างไปเล่นเสมอ ทำให้พวกเรามีรายได้พิเศษขึ้นอีกเดือนละไม่น้อยและสนุกด้วย
       ทางกีฬาได้ไปเล่นกอล์ฟอยู่พักใหญ่ นอกจากไปเล่นโดยลำพังแล้ว ต้องไปเล่นกับเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ เป็นประจำอาทิตย์ละ ๒-๓ ครั้ง ท่านโปรดทรงเวลาเช้าเวลาหนึ่งโมงเช้าตรงถึงสนาม บางวันก็ไปเล่น "โฟซัม" มีท่านหญิงพัฒนคณนาและท่านหญิงอภิสิตสมาคมไปทรงด้วย ภายหลังการเล่นก็นั่งดื่มน้ำหวาน คุยกันสักครู่ใหญ่ๆ พอเสด็จกลับแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องรีบกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปให้ถึงที่ทำงานก่อนท่านเสด็จถึง ตอนเย็นโดยมากท่านประทับอยู่ที่ทำงานจนเย็นค่ำ ข้าพเจ้าก็ต้องคอยจนกว่าจะเสด็จกลับ เพราะท่านอาจเรียกเมื่อใดก็ได้ ถึงตอนนี้รู้สึกว่าเวลาส่วนตัวมีน้อยเต็มที
       ในปี ๒๔๗๑ นี้ เป็นปีที่มารดามีอายุครบ ๖๐ ปี ท่านจึงได้จัดการทำบุญเป็นการใหญ่ ได้สร้างกุฏิทำบุญที่วัดสระปทุม พวกลูกๆ ก็ได้มีโอกาสร่วมทำบุญฉลองพระเดชพระคุณท่านด้วย
       วันพุธที่ ๓ ตุลาคม ๒๔๗๑ ประจงเกิดเวลา ๗.๕๖ นาฬิกา ล.ท. ที่บ้านมักกะสัน  ชื่อประจงนั้น กรมพระจันทบุรีทรงประทาน
       วันที่ ๗ พฤศจิกายน อายุได้ ๒๔ ปี ๖ เดือนเศษ ได้เลื่อนยศเป็นอำมาตย์ตรี
       วันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๗๑ อายุได้ ๒๔ ปี ๑๐ เดือน ได้เลื่อนขึ้นรับตำแหน่งเลขานุการ ก.ร.พ. และสภาการฝิ่น ได้รับพระราชทานเงินเดือนขึ้นเป็นเดือนละ ๓๒๐ บาท ราชการที่ต้องทำรู้สึกว่ายากขึ้นมาก เพราะต้องเข้าในที่ประชุมต่างๆ ร่วมกับเจ้านายใหญ่ๆ โตๆ ชั้นเสนาบดีผู้มีอำนาจมากๆทั้งนั้น แต่ละท่านก็ทรงมีอารมณ์ของท่านเอง และทรงมีความคิดอย่างใดแล้วไม่ค่อยยอมเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าต้องเป็นผู้เตรียมเรื่องเข้าประชุมต้องเป็นผู้จดรายงานการประชุม วันไหนท่านอารมณ์ดีๆ กันเราก็สบายใจ วันไหนที่ท่านจิตใจไม่ปลอดโปร่งเราก็ลำบากหน่อย

๑๐๔. ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการ ก.ร.พ. และไปสอบไล่ข้าราชการในจังหวัดต่างๆ

       วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๒ เริ่มใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับที่ได้ประชุมร่างกันมาด้วยความลำบากตรากตรำ เพราะผู้ใหญ่บางท่านไม่ค่อยชอบพระราชบัญญัตินี้ เป็นการแย่งอำนาจหรือว่าตัดอำนาจเสนาบดีเจ้ากระทรวง ตามเรื่องที่เคยกล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ดีเมื่อพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ประกาศออกใช้แล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระจันทบุรีนฤนาถทรงรับตำแหน่งนายกกรรมการ ผู้รักษาพระราชบัญญัตินี้ หรือเรียกโดยย่อว่า ก.ร.พ. ท่านได้รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า แต่ชั้นเดิมทรงตั้งพระทัยว่าตำแหน่งเลขานุการของ ก.ร.พ. นี้จะให้แก่หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย หรือพระยาโกมารกุลมนตรี แต่โดยเหตุที่ข้าพเจ้าได้ร่วมประชุมร่างมาด้วย รู้ความมุ่งหมายโดยตลอดแล้ว จึงได้แนะขึ้นในที่ประชุมให้ข้าพเจ้ารับตำแหน่งนี้ ซึ่งคณะกรรมการเห็นชอบด้วยคณะกรรมการในขณะนั้นนอกจากกรมพระจันทบุรีฯ แล้วมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม เสนาบดีกระทรวงพระคลัง พระองค์เจ้าธานีนิวัติเสนาบดีกระทรวงธรรมการ โดยปรกติมีประชุมอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งข้าพเจ้าต้องเป็นผู้เสนอเรื่องต่างๆ ต่อที่ประชุมและชี้แจงทุกๆ เรื่องไป
       เนื่องจากการใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งมีหลักการว่าผู้ที่จะเข้ารับราชการในตำแหน่งที่เทียบชั้นราชบุรุษ (อัตรา ๕๐ บาท) ขึ้นไปจะต้องผ่านการสอบไล่แข่งขัน ในปีนี้จึงเป็นปีแรกที่จัดให้มีการสอบราชบุรุษขึ้น ในการสอบนี้ทางราชการได้ตั้งให้พระยาเมธาธิบดีเป็นประธานกรรมการสอบไล่ ส่วนข้าพเจ้าในหน้าที่เลขานุการ ก.ร.พ. แล้วก็มีหน้าที่ช่วยเหลือทั่วๆไป นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบท่วงทีวาจาอีกด้วย การสอบท่วงทีและวาจาเป็นการสอบปากเปล่าและดูตัวคน ทั้งนี้ได้เอาแบบอย่างมาจากการสอบในประเทศอเมริกา คือได้ดูเชาวน์ไหวพริบ และบุคลิกลักษณะของผู้ที่จะมาเข้ารับราชการ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการมีอยู่ ๓ คนด้วยกัน คือ เจ้าคุณเมธาธิบดี เจ้าคุณอภิบาลราชไมตรี และตัวข้าพเจ้า วิธีการสอบก็คือเรียกผู้สอบเข้ามาทีละคน แล้วกรรมการต่างก็ซักถาม ใครจุใจให้คะแนนใครเท่าใดก็ให้ไว้แล้วรวมเข้าหารด้วย ๓ คือจำนวนกรรมการที่ให้คะแนน ผลลัพธ์เท่าใดก็เป็นคะแนนของผู้นั้น การสอบในกรุงเทพฯ สอบในตอนบ่ายวันละ ๒๕ คน กว่าจะเสร็จก็เย็นค่ำ นับว่าเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยอยู่มาก เมื่อสอบในกรุงเทพฯ เสร็จแล้ว เพื่อให้การสอบในหัวเมืองได้รับการให้คะแนนสอบในระดับเดียวกัน เพราะเป็นการสอบแข่งขันทั่วราชอาณาจักร จึงให้คณะกรรมการกลางนี้แยกทางกันไปสอบหัวเมืองด้วย ให้ไปรวมสมทบกับสมุหเทศาภิบาลและเจ้าเมือง หรือผู้หนึ่งผู้ใดให้ได้จำนวนเป็น ๓ คน ข้าพเจ้าเลือกไปทางสายใต้คือต้องไปสอบที่มณฑลนครไชยศรี ราชบุรี นครศรีธรรมราช ปัตตานี และภูเก็ต
       ได้ออกเดินทางในเดือนสิงหาคม (๒๔๗๒) จังหวัดแรกที่หยุดคือจังหวัดนครปฐมมีเจ้าหน้าที่มารับที่สถานี เจ้าหน้าที่นั้นไม่รู้จักข้าพเจ้า และก็ไม่นึกว่าข้าพเจ้าจะเป็นผู้ที่ออกมาสอบเพราะหน้าตายังเด็กอยู่มาก (อายุ ๒๕ ปีเศษ) จากสถานีรถไฟก็ได้ตรงไปที่ศาลากลางจังหวัด แล้วจัดการสอบในเช้าวันนั้นเอง ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จเพราะมีผู้เข้าสอบน้อย สอบเสร็จแล้วเขาจัดอาหารกลางวันเลี้ยงแล้วก็พาไปที่พัก ตอนบ่ายไปเยี่ยมสโมสรข้าราชการ กลางคืนไปดูละคร
       จังหวัดนครปฐมนี้ข้าพเจ้าเคยมาซ้อมรบเมื่อยังเด็กๆ อยู่ คือประมาณ ๑๓-๑๔ ปีมาแล้ว มาคราวนี้ก็ไม่เห็นดีขึ้นกว่าเก่ามากนัก นอกจากว่าได้ซ่อมแซมองค์พระปฐมสวยงามขึ้น ถนนหนทางดีขึ้นเล็กน้อย ศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่พระราชวังสนามจันทร์เดิม
       รุ่งขึ้นเดินทางไปยังจังหวัดราชบุรี มีธรรมการมณฑล หลวงสรรพากย์ฯ มารับที่สถานี แล้วเลยพาไปพักที่บ้าน บ่ายวันนั้นก็จัดสอบพร้อมด้วยสมุหเทศาภิบาล พระยาสุรพันธ์เสนี แล้วเลยพาไปพักที่บ้าน บ่ายวันนั้นก็จัดสอบพร้อมด้วยสมุหเทศาภิบาล พระยาสุรพันธ์เสนี กลางคืนหลวงสรรฯ พาเที่ยว จังหวัดราชบุรีนี้ค่อนข้างใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง สถานที่สำหรับไปชมก็ไม่มีอะไรพิเศษที่น่าจะกล่าวถึง
       รุ่งขึ้นจับรถด่วนไปปักษ์ใต้ ฃึ่งแม่ล้วนลงไปด้วย ไปแวะเที่ยวที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อน โดยลงที่สถานีร่อนพิบูลย์ มีแม่ปุกและนายเจียม ลิมปิชาติ มารับ แล้วขึ้นรถยนต์ไปประมาณ ๒๕ กิโลเมตรถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช ไปพักที่บ้านแม่จือ พักเที่ยวเมืองนครฯ อยู่สองวัน ได้เที่ยวดูเมืองโดยตลอด ที่สำคัญของเมืองนี้ก็คือวัดพระธาตุ
       นอกจากนั้นก็ได้เดินทางไปจังหวัดตรัง โดยขึ้นรถยนต์ไปร่อนพิบูลย์ แล้วขึ้นรถไฟไปทุ่งสง เปลี่ยนรถไฟที่นั่น ไปห้วยยอด แล้วขึ้นรถยนต์ต่อไปจังหวัดตรัง ไปพักอยู่กับหม่อมหลวงจิ๋ว สนิทวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมทาง และเป็นเพื่อนเก่าของข้าพเจ้าเมื่อครั้งอยู่อเมริกาด้วยกัน ระหว่างที่พักอยู่จังหวัดตรังนี้ได้ขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวกันตังด้วยกันตังเป็นท่าเรือแห่งหนึ่งของประเทศไทยทางฝั่งทะเลด้านตะวันตก คือทางด้านมหาสมุทรอินเดีย เป็นท่าเรือที่จะไปภูเก็ต ระนอง และอื่นๆ ทางทะเลด้านตะวันตกของประเทศไทย นอกจากนั้นยังได้ไปดูที่สวนของบิดา ที่นี้อยู่บนเนินเขาเป็นที่ซึ่งเจ้าคุณรัษฎาฯ (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) เมื่อครั้งเป็นสมุหเทศาภิบาลอยู่ที่มณฑลนี้ ได้จัดการซื้อและจับจองไว้ให้ แต่โดยที่เราไม่ได้มาจัดการอย่างใดจึงมีพวกชาวบ้านรุกที่ และมาปลูกบ้านอยู่ในที่หลายแห่งด้วยกัน
       พักอยู่จังหวัดตรัง ๒ วันก็ขึ้นรถยนต์ไปพัทลุง ระยะทางสองชั่วโมงเศษ ถนนทางสายนี้สวยงามมาก คดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขาเข้าป่าฝ่าดง จังหวัดพัทลุงนี้เล็กมากไม่น่าจะเป็นจังหวัดเลย
       จากพัทลุงจับรถไฟไปหาดใหญ่ ถึงหาดใหญ่แล้วขึ้นรถยนต์ไปสงขลา ระยะทางประมาณ ๒๕ กิโลเมตร ถนนค่อนข้างดีลาดยางตลอดทาง ทางบ้านเมืองได้จัดให้ไปพักที่โฮเต็ลบนเขาน้อย อากาศเย็นสบาย โฮเต็ลนี้เป็นโฮเต็ลเล็กๆ มีไม่กี่ห้องแต่น่าเอ็นดูและสะอาดสะอ้าน พอใช้ ถ้าไม่ใช้รถยนต์ต้องเดินขึ้นเขาก็พอเมื่อย ดีใจที่ได้กลับมาเห็นบ้านเกิดสงขลานี้มีที่น่าเที่ยวน่าดูหลายแห่ง มีทะเลใหญ่ มีทะเลสาบ มีภูเขาสวยงามมาก พักอยู่สงขลา ๓-๔ วัน และเมื่อสอบเสร็จแล้วก็เดินทางไปปัตตานีต่อไป
       การเดินทางไปจังหวัดปัตตานีนั้น ได้ขึ้นรถยนต์จากจังหวัดสงขลาไปขึ้นรถไฟที่หาดใหญ่ ไปลงรถไฟที่สถานีโคโพธิ์ แล้วต้องขึ้นรถยนต์ประมาณ ๒๕ กิโลเมตรไปจังหวัดปัตตานี เมื่อถึงจังหวัดแล้วได้ไปพักเป็นกันเองกับเจ้าคุณอุดม พงศ์เพ็ญสวัสดิ์ ซึ่งเป็นสมุหเทศาภิบาลอยู่ที่มณฑลปัตตานี ท่านได้พาขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวหลายแห่ง รวมทั้งไปที่ถ้ำสำคัญด้วย จังหวัดปัตตานี ท่านได้พาขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวหลายแห่ง รวมทั้งไปที่ถ้ำสำคัญด้วย จังหวัดปัตตานีเต็มไปด้วยแขกมลายูถือศาสนามะหะหมัด มีขนบธรรมเนียมต่างกับคนไทยมาก และเรื่องศาสนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของเขา พักอยู่กับปัตตานี ๒-๓ วัน ก็เดินทางกลับมาสงขลา เพื่อเดินทางไปจังหวัดภูเก็ตต่อไป
       การไปภูเก็ตนี้ข้าพเจ้าเลือกไปทางผ่านปีนัง เพราะเรือค่อยใหญ่หน่อยและ Connection ในการเดินทางสะดวกกว่า จากสงขลาได้เช่ารถไปปีนัง ถนนจากสงขลาถึงสะเดาค่อนข้างไม่สู้จะดี แต่พอเข้าเขตของแหลมมลายูแล้วถนนเขาดีมาก ลาดยางตลอดทาง สองข้างทางโดยมากเป็นสวนยาง ผ่านเมือง Alor Star (เมืองไทรบุรี) เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีเจ้าผู้ครองนคร เราไม่ได้หยุดที่นี่นานนัก เดินทางต่อไปถึง Butterworth ซึ่งเป็นที่ข้ามฟากไปเกาะปีนัง ระยะทางจากสงขลา ๕ ชั่วโมงเศษ แล้วเราก็ข้ามโดยเรือเฟอรีไปยังเกาะปีนัง ได้ไปพักที่โฮเต็ลรันนีมีด เกาะ ปีนังนี้ข้าพเจ้าได้เคยมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อกลับจากอเมริกาเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ ฉะนั้นจึงรู้จักสถานที่ดีอยู่บ้าง อยู่ปีนังวันหนึ่ง รุ่งขึ้นเวลากลางวันลงเรือชื่อ "มาตัง" ไปภูเก็ตต่อไป เรือลำนี้ใหญ่โตสบายดี เช้ารุ่งขึ้นเรือก็ถึงภูเก็ต เรือต้องจอดห่างจากฝั่งมากเพราะน้ำตื้น เราต้องลงเรือเล็กไป หนทางค่อนข้างไกล ได้พักอยู่ที่ภูเก็ต ๓-๔ วัน สมุหเทศาภิบาลไม่อยู่ อยู่แต่เจ้าเมือง ธรรมการมณฑล และ ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ซึ่งเป็นเลขานุการมณฑล ได้พาไปเที่ยวหาดสุรินทร์ และเที่ยวในเมืองนี้โดยตลอด เมืองนี้เป็นเมืองเหมืองแร่ มีเศรษฐีอยู่หลายคน มีบ้านใหญ่เป็นตึกหลายแห่ง และสองข้างถนนโดยมากเป็นตึกแถว ขากลับก็กลับกับเรือ "มาตัง" ไปปีนังพักอยู่ปีนังอีกวันหนึ่งที่โฮเต็ล รันนีมีด แล้วจับรถไฟกลับกรุงเทพฯ ทีเดียว ถึงกรุงเทพฯ ต้นเดือนกันยายน

๑๐๕. การปฏิบัติราชการ

       ราชการที่ต้องปฏิบัติรู้สึกว่าต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ข้าพเจ้าได้ทำงานจนเป็นที่ไว้วางใจของเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ และผู้ใหญ่อื่นๆ ที่มาติดต่อ จนมีคนชั้นผู้ใหญ่มาพูดว่าข้าพเจ้าเป็นอภิรัฐมนตรีคนหนึ่ง หรือว่าสำหรับกรมพระจันทบุรีฯ นั้นอะไรๆ ก็แล้วแต่ข้าพเจ้า แม้เสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ เองก็เคยรับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "แกรู้ไหมใครๆเขาว่ากันว่าฉันน่ะอะไรๆ ก็แล้วแต่แกทั้งนั้น" แล้วก็ทรงพระสรวล สำหรับเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับ ก.ร.พ. หรือสภาการฝิ่นซึ่งข้าพเจ้าเป็นเลขานุการโดยตรงนั้น ถ้ามีเรื่องอะไรผ่านมาข้าพเจ้าก็ได้ทำบันทึกความเห็นเสนอ ซึ่งเกือบจะว่าแทบทุกเรื่องเสด็จในกรมทรงเห็นชอบด้วย และสั่งให้ดำเนินการต่อไปได้ หนังสือบางฉบับที่เสด็จในกรมลงพระนามเมื่อไปถึงเสนาบดีบางท่านๆ อ่านแล้วก็ว่า "นี่เป็นความคิดความเห็นของหลวงสุขุมทั้งฉบับ" เรื่องนี้เป็นคำบอกเล่าของข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งเล่าให้ฟัง
       ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมโต๊ะเสวยกลางวันกับเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ ทุกวัน ซึ่งมีพระองค์เจ้าศุภโยคเกษม เสนาบดีกระทรวงพระคลัง และเจ้าพระยาพลเทพ เสนาบดีกระทรวง เกษตราธิการ หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ปลัดทูลฉลองกระทรวงพระคลังร่วมโต๊ะด้วย และบางวันก็มีเจ้านายผู้ใหญ่ๆ มาร่วมอีก เช่นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย กรมหมื่นเทววงศ์ฯ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ พระองค์เจ้าธานีฯ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นต้น เวลาเดินข้าร่วมโต๊ะข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยต้องเดินตามหลัง เหลือที่นั่งที่เดียวคือติดกับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ เพราะองค์อื่นๆเดินไปนั่งที่ๆห่างกับท่าน รู้สึกว่าเวลานั้นท่านเป็นผู้ที่ทรงอำนาจอันใหญ่ยิ่งในเมืองไทย ใครๆก็เกรงพระบารมี แม้แต่นั่งในโต๊ะอาหารก็พยายามห่างไว้ สำหรับตัวข้าพเจ้าเมื่อเหลือที่เดียวดังนั้นก็จำเป็นต้องนั่งและระวังตัวที่สุด เวลาตักอาหารก็ต้องระวัง เดี๋ยวเกิดตักหกไปถูกท่านเข้าคงเกิดเรื่องแน่ เวลารับประทานอาหารถ้าอาหารจืดควรใส่เกลือหรือใส่ซ๊อส เราก็ต้องทนรับประทานทั้งจืดๆ เพราะไม่กล้าเอื้อมไปตักเกลือหรือหยิบซ๊อส รับประทานอย่างนี้ไม่น่าจะอิ่มเลย แต่ก็ไม่เป็นไรนานๆ สักครั้ง คือเดือนหนึ่งไม่เกิน ๓ ครั้ง เวลาเสวยก็รับสั่งถึงเรื่องการบ้านการเมือง เรื่องนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล บางทีก็รับสั่งถึงเรื่องสนุกสนานบ้าง และบางคราวท่านก็ล้อข้าพเจ้าบ้าง
       ส่วนในวันธรรมดาซึ่งนั่งโต๊ะกันเพียง ๕ ท่าน คือเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม เจ้าพระยาพลเทพ หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย และข้าพเจ้านั้น โดยปรกติเข้าโต๊ะราวบ่ายโมงเศษ รับประทานพลางคุยกันไป ราวบ่ายสองโมงเศษ รับประทานเสร็จแล้วสักครู่ใหญ่ๆ ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นถวายคำนับแล้วออกไปทำงาน เพราะท่านนั่งอยู่ต่อไปจนบ่าย ๔ โมง ๕ โมง เสวยน้ำชาอีกเป็นธรรมดา บางคราวอยู่จนถึงย่ำค่ำหรือทุ่มหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าหนีออกก่อนก็เพื่อได้ออกมาทำงาน และอีกประการหนึ่งบางทีท่านอาจจะมีความลับที่จะปรึกษากัน เราเป็นเด็กจะนั่งฟังอยู่ด้วยก็น่าเกลียด ท่านก็ไม่เคยให้ออกไป แต่เราทำงานกับเจ้าใหญ่นายโตเช่นนี้ เราก็ต้องคิดให้รอบคอบ ที่จะต้องระวังที่สุดก็คืออย่าเป็นคนอวดดี อย่าเป็นคนเสือกหรือทะลึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันก็อย่าทำตัวเป็นคนไม่มีมันสมองของตนเสียเลยจนให้ท่านดูถูก การทำตัวให้พอเหมาะพอดีนี้แหละเป็นของยาก เสด็จในกรมเคยรับสั่งกับข้าพเจ้าถึงคนต่างๆที่เคยรับใช้สอยท่าน ท่านว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ ดูไม่ค่อยจะถูกพระทัยท่านเสียเลย บางคนท่านถึงกับรับสั่งว่าท่านทนไม่ไหวก็มี ข้าพเจ้าต้องคอยสังเกตถึงสิ่งที่ท่านไม่พอพระทัย มีอะไรบ้างที่รุนแรงแล้วเราต้องระวัง
       บางวันท่านเสด็จกลับจากประชุมอภิรัฐมนตรี หรือเสนาบดีสภามาพระพักตร์บึ้งที่สุด ชะรอยว่าคงมีเรื่องโต้เถียงกันในที่ประชุมอย่างรุนแรงโดยมีความเห็นไม่ตรงกัน วันนั้นโต๊ะกินข้าวเงียบหงอยไม่อร่อยเลย นั่งนิ่งกันหมด ข้าพเจ้าภาวนาขอให้เจ้าคุณพลเทพมาร่วมโต๊ะด้วย ถ้าท่านมาช้าก็ต้องบอกคนประจำห้องให้รีบโทรศัพท์ไปเตือน แล้วเลยอ้างเท็จด้วยว่าในกรมรับสั่งถามถึง ทั้งนี้เพราะเจ้าคุณพลเทพเป็นคนช่างพูด กำลังที่กริ้วอยู่ที่สุดนั้นมีเจ้าคุณพลเทพมาเพียงครู่เดียวเท่านั้นอาจทางพระสรวลได้ ท่านช่างหาเรื่องสนุกๆ มาเล่า แล้วแต่ละเรื่อง Witty ที่สุด
       บางวันที่เสด็จในกรมท่านกริ้วมาจากที่อื่น พอถึงที่ทำงานท่านต้องเรียกตัวข้าพเจ้าเข้าไปในห้องท่านทุกคราว แล้วก็ปรารภเป็นเชิงบ่นถึงเรื่องต่างๆ บางคราวถึงด่าบางคนก็มี แต่คราวที่รุนแรงที่สุดที่ข้าพเจ้าจำได้มีดังนี้ พอโผล่เข้าไปในห้องท่านก็รับสั่งอย่างไม่มีหางเสียงให้นั่งลง ข้าพเจ้าก็ใจเต้น รู้สึกว่าคงเกิดเรื่องอะไรใหญ่โต แล้วท่านก็รับสั่งว่า "ฉันเห็นว่าถ้าเมืองไทยดำเนินการไปอย่างนี้แล้วก็ต้องล้มแน่" แล้วท่านก็รับสั่งอะไรที่รุนแรงอีกมากมาย ข้าพเจ้าก็นั่งเหงื่อออกฟังไป ตอนท้ายรับสั่งว่า "ท่านทรงทราบเหมือนกันว่า มีคนเกลียดเจ้านายมากขึ้น และท่านไม่เห็นด้วยในการที่จะยกแต่เจ้าขึ้นไปเลิศลอยนัก และไม่เห็นพ้องด้วยสกีมต่างๆ ของรัชกาลที่ ๗ หลายสกีม แต่ก็รับสั่งว่าเสร็จแล้วก็บอกข้าพเจ้าอย่างไม่มีหางเสียงว่า "ไปได้ละ" ข้าพเจ้าออกมานั่งที่โต๊ะทำงาน นั่งงงสักครู่ใหญ่ นึกคิดดูว่าหน้าที่เรานี้ไม่เลยเลยได้รู้เรื่องดีๆสูงๆ แต่เส้นประสาทต้องดีหน่อย
       การทำงานกับเจ้านายผู้ใหญ่ลำบากมาก เราต้องเป็นนักการทูตอยู่ตลอดเวลาเช่นท่านมีความเห็นไม่ตรงกันแต่เกรงใจกัน ก็ไม่ค่อยจะตกลงกันได้ เราต้องเป็นคนกลางการเขียนรายงานการประชุมบางคราวข้าพเจ้าต้องใส่ข้อตกลงเอาเอง แต่ก็ได้พยายามหาเหตุผลมาช่วยอีกฝ่ายหนึ่งเป็นการทำให้เรื่องที่ตกลงนั้นแม้จะชนะก็ดี แต่เหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่งก็ดีมากเป็นต้น ในเรื่องการทำราชการกับผู้ใหญ่ที่มีอำนาจวาสนาชั้นสูงสุดในประเทศเช่นนี้มีเรื่องอีกมากมายที่น่าจะจดไว้เพื่อความทรงจำ แต่เห็นว่าถ้าจะจดเอาไว้ก็เป็นภัยแก่ตัวเราเอง จึงของดการจดเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในบันทึกนี้ จะกล่าวเพียงว่าข้าพเจ้าต้องฟันฝ่าอุปสรรคมามาก เจ้านายหลายพระองค์และเสนาบดีบางคนออกปากชมเชยข้าพเจ้าเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ เคยรับสั่งต่อผู้ใหญ่หลายคนถึงตัวข้าพเจ้าว่า "ช้างเผือกของเจ้าคุณยมราช"
       วิธีจัดระเบียบวาระประชุมนั้น ข้าพเจ้าได้คิดวิธีให้เป็นที่สะดวกต่อผู้เป็นประธานในที่ประชุม คือทำบันทึกความเห็นของเจ้าหน้าที่ เล่าเรื่องที่ควรปฏิบัติอย่างใดได้บ้างแล้วชี้ทางให้เห็นถึงผลว่า การปฏิบัติเช่นใดได้ผลอย่างใด และเสียผลอย่างใด โดยให้เหตุผลประกอบ การปฏิบัติงานเหล่านี้ทำให้เสด็จในกรมวางพระทัยในตัวข้าพเจ้า
       ในการประชุมวันหนึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ อารมณ์ไม่ดีมาจากไหนไม่ทราบ ท่านไม่พอพระทัยในเรื่องต่างๆ หลายเรื่อง ท่านก็บ่นแล้วก็เล่นงานข้าพเจ้าเราเป็นผู้น้อยผิดถูกเราก็ต้องรับ เสร็จจากการประชุมแล้วเจ้าคุณเมธาธิบดีซึ่งเข้าประชุมแทนเสนาบดีกระทรวงธรรมการในวันนั้นได้แอบกระซิบกับข้าพเจ้าว่า "ตำแหน่งคุณหลวงให้ฉันเดือนละสองพันบาท ไม่รับแน่"

๑๐๖. เรื่องอื่นๆ ใน พ.ศ.๒๔๗๒

๑. วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๗๒ เวลา ๔.๓๐ ก.ท. ประเดิมเกิดที่บ้านที่ถนนศาลาแดง
๒. วันที่ ๒๒ กันยายน เวลา ๑.๓๕ ก.ท. ยายน้อย (ประพาฬ) เกิดที่บ้านมักกะสัน แม่เพิ่มศิริเจ็บหนักในการคลอดนี้เป็นเซพซีส แต่แพทย์ไปเข้าใจว่าเป็นมาเลเรีย รักษาผิด ข้าพเจ้ามัวหลงเชื่ออยู่ ครั้นเห็นอาการหนักตามแพทย์อื่นมาดูก็หมดหวังเสียแล้ว แม่เพิ่มศิริเสียวันเสาร์ที่ ๑๙ ตุลาคม เวลาบ่าย ๓ โมง รดน้ำศพแล้วก็นำไปไว้ที่วัดมกุฎกษัตริย์ มีเพื่อนฝูงและญาติมาช่วยและมาตามศพกันมาก
๓. วันที่ ๗ พฤศจิกายน ได้รับพระราชทานตรามงกุฎชั้น ๔
๔. วันที่ ๑ ธันวาคม อายุได้ ๒๕ ปี ๗ เดือน ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกองเลขานุการสภาการคลัง สภาการฝิ่น และ ก.ร.พ. ได้รับพระราชทานเงินเดือนในอัตรา ๔๐๐-๕๐๐ บาท ได้รับจริง ๔๐๐ บาท
๕. มกราคม ได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านศาลาแดง โดยที่เห็นว่าถ้าอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นการรบกวนคุณหญิงพูนมากเกินไป และนอกจากนั้น เขายังมีลูกสาวอีกหลายคน จะทำให้เขาเสียชื่อ ส่วนประจงนั้นคุณหญิงพูนผู้ซึ่งเป็นยายรับเลี้ยงต่อไป ยายน้อยซึ่งพึ่งคลอดนั้น มารดาข้าพเจ้ารับมาเลี้ยง
๖. ใน พ.ศ.๒๔๗๒ นี้ ได้ซื้อรถยนต์ใหม่ชนิดเดอโซโตเก๋งสองตอน เป็นรถคันที่สี่ของข้าพเจ้า ส่วนรถคันเก่าได้ขายต่อไป
๗. ในปลาย พ.ศ.๒๔๗๒ ทางการได้จัดการถวายพระเพลิงพระศพเจ้านายหลายพระองค์ และมีพระศพพระองค์เจ้าแขไขดวงร่วมอยู่ด้วย บิดาได้ส่งข้าพเจ้ามาเป็นผู้เดิน ๓ หาบและช่วยเหลือ
๘. ร้านดนตรีกีฬาพาณิชย์ย้ายมาอยู่สีลม คนขายของและเฝ้าร้านคนก่อนได้โกงเงินไปจำนวนหนึ่งจึงไล่ออก และพวกเรา ได้ตกลงให้แม่ล้วนไปอยู่เฝ้าร้านและจัดการ
๙. โรงเรียนวชิราวุธ (โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเก่า) ได้มาขอให้ไปช่วยหัดนักเรียนเล่นบาสเกตบอลและเบสบอล ได้ไปช่วยหัดอยู่พักหนึ่งจนนักเรียนเล่นกันได้ แต่สำหรับ เบสบอลรู้สึกว่าคนไทยไม่ค่อยชอบเล่น กีฬาของอเมริกันต่างๆ นั้นข้าพเจ้าได้เคยนึกเสมอว่าบางอย่างที่คนไทยพอจะเล่นได้ แล้วอยากจะนำเข้ามาให้โรงเรียนต่างๆ เล่นเป็นกีฬาของโรงเรียน เพราะรู้สึกว่าการกีฬาของเรายังล้าหลังอยู่มาก กีฬาของโรงเรียนมีแต่ซอกเกอร์ตลอดปี ไม่มีอย่างอื่น ถ้ามีกีฬาหลายอย่างก็จะช่วยเด็กของเราให้เป็นนักกีฬามากขึ้น คือเกมใดที่บางคนเล่นได้ไม่ถนัดแต่ก็อาจจะถนัดในเกมอื่น ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็มีฐานะเป็นนักกีฬาเหมือนกัน อีกประการหนึ่งถ้ามีกีฬาเล่นหลายๆ อย่างจะได้ไม่เป็นการเบื่อหน่ายต่อคนดูและคนเล่นอีกด้วย ข้าพเจ้าเคยนึกอยากจะให้เป็นฤดูคือตั้งแต่เดือนนั้นถึงเดือนนี้เป็นกีฬาอย่างหนึ่ง แล้วต่อจากเดือนนั้นถึงอีก ๒-๓ เดือนเป็นอีกอย่างหนึ่งอย่างในอเมริกาคงจะดีมากทีเดียว
๑๐. เมื่อคราว American Floating University (มหาวิทยาลัยลอยน้ำของอเมริกา) ซึ่งมีทั้งหญิงและชายประมาณ ๔๐๐ กว่าคนเข้ามากรุงเทพฯ ทางการได้จัดการรับรองให้พักในกรุงเทพฯ ๓-๔ วัน โดยเหตุที่เวลานั้นเป็นเวลาโรงเรียนปิดจึงได้จัดให้พักตามโรงเรียนต่างๆ เช่นโรงเรียนวชิราวุธเป็นต้น แล้วทางการก็ได้จัดให้ผู้ที่เคยศึกษามาจากอเมริกาและอังกฤษเป็นผู้นำชมสถานที่ต่างๆ โดยกำหนดวันเวลาให้ด้วย เช่นวันนั้นเวลานั้นไปชมวัดพระแก้ว เวลาบ่ายไป ชมมิวเซียม ฯลฯ และเพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้สนิทยิ่งขึ้นอีกระหว่างคนอเมริกันและ คนไทย จึงได้จัดให้มีการแข่งขันบาสเกตบอลระหว่างมหาวิทยาลัยลอยน้ำกับนักเรียนที่เคยศึกษาจากอเมริกาในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ถูกมอบหมายให้เป็นหัวหน้าและเป็นผู้ควบคุมทีม ฝ่ายเราจึงได้จัดซ้อมกันเล็กน้อย ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้เข้าเล่นด้วย เวลาแข่งขันได้จัดให้มีขึ้นที่สนามใน โรงเรียนราชินี และผลที่สุดฝ่ายเราเป็นฝ่ายชนะ นอกจากนั้นได้มีการแข่งขันเบสบอลระหว่างมหาวิทยาลัยลอยน้ำ กับชาวอเมริกันในกรุงเทพฯ ซึ่งพวกอเมริกันได้ขอให้ข้าพเจ้าเล่นในทีมฝ่ายอเมริกันในกรุงเทพฯ ด้วย และให้เล่นตำแหน่ง Catcher ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญและอันตรายหน่อย เวลาเล่นต้องสวมหน้ากากเหล็กและใส่เกราะที่หน้าอก ที่เข่า และหน้าแข้ง

๑๐๗. ตามเสด็จกรมพระจันทบุรีนฤนาถไปปีนังและสิงคโปร์

       พฤษภาคม ๒๔๗๓ หม่อมเจ้าขจรจบกิติคุณ กิติยากร จะได้ออกไปศึกษาวิชาการทหารเพิ่มเติม ณ ประเทศฝรั่งเศส เสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ และท่านหญิงอัปษรสมาน จึงคิดเตรียมจะไปส่งลูกชายลงเรือที่ปีนัง แล้วจะเลยไปเที่ยวถึงสิงคโปร์อีกด้วย การไปนี้เป็นการส่งพระองค์ รับสั่งให้ข้าพเจ้าลาราชการ ๒ อาทิตย์ (ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าต้องกราบทูลลาหยุดราชการต่อพระองค์ท่านเพื่อตามเสด็จไปกับท่าน) ข้าพเจ้าได้ตามเสด็จขึ้นรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปหาดใหญ่ แล้วไปพักที่สงขลา ๓-๔ วัน ไปพักที่ตำหนักหม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ ระหว่างพักอยู่ที่สงขลานี้ วันหนึ่งได้ขึ้นรถไฟไปสถานีควนเนียง แล้วขึ้นรถยนต์ต่อไปจังหวัดสตูล ถนนระยะยาว ๖๐-๗๐ กิโลเมตร เรียบดีพอใช้ แต่ฝุ่นมากหน่อย ได้ไปพักรับประทานอาหารเช้าที่ๆ พักแห่งหนึ่งห่างจากควนเนียงไม่กี่กิโลเมตรนัก ที่นั้นมีน้ำตกด้วย ทางราชการได้จัดอาหารไว้ที่ริมห้วยติดกับน้ำตกสวยงามมาก อากาศก็สบายเพราะมีต้นไม้ครึ้ม รับประทานอาหารเช้าเสร็จก็เดินทางต่อไปยังจังหวัดสตูล เจ้าเมืองซึ่งเป็นชาวมลายูมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาได้ต้อนรับเสด็จอย่างเต็มที่ เลี้ยงอาหารกลางวันเป็นอาหารแขก จังหวัดนี้เล็กมากเดินเที่ยวสัก ๑๐ นาทีก็ทั่ว เป็นจังหวัดชายทะเลทางด้านตะวันตก พลเมืองเป็นแขกมลายูเป็นส่วนมาก ตกเวลาบ่ายก็เสด็จกลับสงขลา ระหว่างทางได้แวะดูโรงเรียนกสิกรรมแห่งหนึ่ง ระหว่างพักอยู่ที่สงขลา ๓-๔ วันนี้ นอกจากเสด็จทอดพระเนตรดูเมืองอย่างตลอดแล้วยังได้เสด็จไปที่สวนต้น Oil ปาล์มของท่านอมรสมานลักษณ์วันหนึ่ง สวนนี้ตั้งอยู่ที่ใกล้สะเดา ระยะทางราว ๔๐ กิโลเมตรจากสงขลา ท่านอมรได้มาลงทุนไว้ในสวนนี้มาก กำลังปลูก African Oil Palm ให้เต็มสวนนัยว่าเป็นสินค้าที่ต่างประเทศกำลังต้องการมาก
       ถึงกำหนดวันเสด็จในกรมพระจันทบุรีนฤนาถและท่านหญิงอัปษรสมานก็ได้เสด็จออกจากสงขลาไปปีนังโดยรถยนต์ มีขบวนรถ ๔ คัน นอกจากผู้ที่ตามเสด็จไปจากกรุงเทพฯแล้วมีท่านอมรสมานลักษณ์และท่านหญิงชวลิตตามเสด็จไปอีกด้วย ไปพักรับประทานอาหารกลางวันที่เมืองไทรบุรี ทางรถยนต์จากสงขลาไปปีนังนี้ข้าพเจ้าได้เคยไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ เมื่อเสด็จถึงปีนังได้ไปพักที่โฮเต็ลรันนีมีด เป็นครั้งที่ ๔ ที่ข้าพเจ้าได้มาเมืองนี้ ในการเสด็จมาถึงนี้มีการต้องรับการ์ดส่งการ์ดกับเจ้าเมือง ซึ่งเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า รวมทั้งรับแขกอื่นๆ และสัมภาษณ์พวกหนังสือพิมพ์ เมื่อเรือ President Adams มาถึงและได้ส่งท่านขจรขึ้นเรือและเรือออกจากปีนังไปแล้ว เสด็จประทับอยู่ปีนังอีก ๒-๓ วัน ได้เสด็จเที่ยวชมเมืองโดยตลอด รวมทั้งขึ้นรถยนต์รอบเกาะซึ่งมีระยะทางประมาณ ๓๕ ไมล์ ถนนคดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขา เล่นเอาบางคนที่ไปด้วยเกือบจะอาเจียนโดยเมารถยนต์เราได้เอาน้ำชาเครื่องว่างไปรับประทานที่ชายทะเลแห่งหนึ่ง เย็นสบายดี และเป็นที่สวยงามมากอีกคราวหนึ่งได้ขึ้นรถรางซึ่งลากขึ้นไปบนยอดเขาด้วยสายลวด ตามทางรถรางสายนี้หรือใกล้ๆ ทางรถรางสายนี้มีบ้านพวกเศรษฐีอยู่มากมาย เป็นบ้านสวยๆ มีสนามเทนนิส สระอาบน้ำ เพราะอากาศบนเขาสบายดีมาก บนยอดเขามีโรงแรมและมีที่รับประทานอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนั้นได้ไปดูสวนสัตว์ซึ่งมีงูขนาดต่างๆ จำนวนร้อยๆ เกาะและเลื้อยอยู่ในที่ต่างๆในวัดนั้น เชื่องมากไม่ปรากฏว่าเคยกัดผู้ใด เวลาเดินต้องระวังไม่ไปเหยียบมันเข้า เขาเล่ากันว่างูพวกนี้ได้กินฝิ่นจึงเป็นอย่างนี้ จริงหรือไม่จริงยังไม่มีใครยืนยัน
       ได้เสด็จซื้อของตามห้างร้านต่างๆมากมาย
       ถึงกำหนดวันออกจากปีนังก็ได้จับรถไฟจากไปในเวลากลางคืน ไปรถนอนไปเช้ามืดที่กัวลาลัมเปอร์ ต้องตื่นตั้งแต่ ๕ นาฬิกาเพราะรถถึงเวลา ๕.๓๐ นาฬิกา แล้วต้องเปลี่ยนรถไฟที่นั่น เมืองกัวลาลัมเปอร์นี้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของแหลมมลายู มีถนนงามๆหลายสาย มีตึกสวยๆมาก เรารับประทานอาหารเช้าที่สถานีรถไฟนั้น พอตกเวลาประมาณ ๙.๐๐ นาฬิการถไฟออกต่อไปยังสิงคโปร์ซึ่งไปถึงเวลาราวย่ำค่ำ รถจักรของรถไฟมลายูนี้ใช้ถ่านหิน ฉะนั้นผู้โดยสารจึงต้องได้รับความสกปรกหน่อย
       เมื่อถึงสิงคโปร์พระสุนทรวาจนา กงสุลเยเนอราลไทย และข้าราชการสถานกงสุลได้มารับที่สถานี แล้วเราได้ไปพักอยู่ที่โฮเต็ลอเดลฟี ระหว่างพักอยู่สิงคโปร์นี้ผู้สำเร็จราชการแหลมมลายูได้เชิญไปเสวยอาหารกลางวันที่ทำเนียบ ซึ่งข้าพเจ้าได้ตามเสด็จไปร่วมโต๊ะด้วย ได้มีโอกาสรู้จักและคุยกับท่านผู้สำเร็จราชการผู้นี้ ทำเนียบของท่านใหญ่โตมาก อยู่บนเนินเขาสูง นอกจากนั้นเราได้ขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวยะฮอร์และที่ต่างๆ และได้ดูเมืองโดยตลอด ค่ำวันหนึ่งคุณพระ สุนทรฯ ได้เชิญไปเลี้ยงอาหารจีนที่นอกเมืองแห่งหนึ่ง ที่รับประทานเป็นศาลาอยู่กลางสระน้ำเป็นที่สะอาดสะอ้านมาก อาหารเขาก็ดี แต่รู้สึกว่าสู้อาหารจีนในกรุงเทพฯไม่ได้ เพราะอาหารจีนในกรุงเทพฯ นั้นเขาปรุงขึ้นให้ถูกรสลิ้นคนไทย คือรสจัด อีกวันหนึ่งได้ไปดูภาพยนตร์พูดได้ที่โรงที่สร้างขึ้นใหม่เป็นโรงใหญ่และสวยมาก ภาพยนตร์พูดได้ยังไม่มีในเมืองไทยเลย รู้สึกว่าดีมาก เสียงก็ชัดเจนดีพอใช้ การดูภาพยนตร์คืนวันนั้นเกิดแอกซิเดนท์หน่อย คือท่านหญิงชวลิตเป็นลาเขียวทั้งตัว ท่านอมรและข้าพเจ้าต้องอุ้มท่านลงจากโรงภาพยนตร์มาขึ้นรถแล้วกลับโฮเต็ลแต่แล้วท่านก็ค่อยยังชั่ว
       สิงคโปร์นี้ข้าพเจ้าได้เคยมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อคราวออกไปศึกษาวิชา ณ ประเทศอเมริกาเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ คือเมื่อ ๑๓ ปีมาแล้ว มาคราวนี้รู้สึกเปลี่ยนแปลงไปมาก คือทางด้านบ้านเมืองก็มีถนนใหญ่ๆ มากมาย และมีตึกสวยๆเพิ่มขึ้น ทางด้านชีวิตก็มีสถานที่หย่อนใจสนุกสนานหลายแห่ง หรืออาจเป็นว่ามาคราวก่อนยังเป็นเด็กอยู่ไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก สิงคโปร์นี้เป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในตะวันออกไกล เรือทุกบริษัทที่เดินทางมาตะวันออกไกลต้องหยุดแวะที่นี่ สำหรับบ้านเมืองใหญ่โตน่าเที่ยว น่าดู มีร้านขายของใหญ่ๆ มีถนนใหญ่และทำดีมาก มีโรงภาพยนตร์ดีๆ มีโฮเต็ลชายทะเล ฯลฯ เมืองนี้นอกจากจะเป็นเมืองท่าเรือที่สำคัญแล้วยังเป็นเมืองสำคัญในด้านทางการเมืองอีกด้วย ซึ่งอังกฤษหวงมาก เราพักอยู่สิงคโปร์ ๔-๕ วัน เสด็จในกรมและท่านหญิงทรงซื้อของมากมาย ซึ่งหน้าที่ของข้าพเจ้าก็คอยลงบัญชีให้ทัน แล้วก็จ่ายเงินให้เขา ระหว่างทรงซื้อของหันมารับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "แกอยากได้อะไรบ้างก็เอาซี"
       การเดินทางกลับเราได้กลับโดยรถยนต์ พระสุนทรวาจนาตามเสด็จมาด้วย วันแรกออกจากสิงคโปร์ตรงไปเมืองมะละกา ถึงเมืองนั้นเวลาบ่ายได้ไปพักที่ Rest House
       เมืองมะละกานี้เป็นเมืองเก่าของแหลมมลายู มีชาวปอตูกีสอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ริมทะเลฝั่งตะวันตก มีสถานที่น่าชมอยู่ ๒-๓ แห่ง ซึ่งเราได้ไปดูโดยตลอด ตกเวลากลางคืนก็ค่อนข้างจะเงียบเหงา
       รุ่งขึ้นเดินทางต่อไปโดยรถยนต์จากมะละกาไปกัวลาลัมเปอร์ ได้ไปถึงเวลาบ่ายเรา ได้ไปพักอยู่ที่โฮเต็ลในสถานีรถไฟ พักอยู่ที่นี่ ๒-๓ วันเพราะเมืองนี้ค่อนข้างใหญ่และน่าดู นอกจากนั้นต้องพระประสงค์อย่างมากที่จะไปดูสวนทดลองการเพาะปลูก (Experimental Station) ของรัฐบาลมลายู สวนทดลองนี้จัดทำเพื่อประโยชน์แก่ชาวสวนชาวนาเพื่อจะได้แนะนำต่อราษฎรว่าปลูกอะไรจึงจะมีผลดี และวิธีปลูกอย่างไรจึงจะดี ทั้งนี้ก็โดยมีพระประสงค์จะให้มาจัดในเมืองไทยบ้าง สวนทดลองนี้อยู่ห่างจากกัวลาลัมเปอร์ไม่กี่กิโลเมตรนัก เราได้ไปดูกันโดยตลอดและได้รับความรู้มามาก
       ออกจากกัวลาลัมเปอร์โดยรถไฟกลางคืน ถึงปีนังเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วก็ขึ้นรถไฟต่อไปสงขลาทีเดียว ได้ไปพักที่ตำหนักท่านอมรอีก ๒-๓ วัน ระหว่างประทับอยู่สงขลานี้ประจวบกับวันประสูตรของเสด็จในกรมด้วย จึงได้มีงานฉลอง โดยมีการเลี้ยงใหญ่และมีละครดู แจกของจับฉลากกันอย่างสนุกสนาน ครั้นแล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯโดยรถไฟ รวมเวลาที่ไป ๒ อาทิตย์เศษ ในการเสด็จคราวนี้ข้าพเจ้าต้องเป็นหัวแรงทุกๆ อย่างในเรื่องรับแขกก็ดี เงินทองหีบปัดข้าวของ การขนส่ง และให้รางวัลผู้ช่วยเหลือก็ดี ได้จัดเป็นที่เรียบร้อยทุกประการเป็นที่พอพระทัย กลับมาถึงกรุงเทพฯ เสด็จในกรมประทานแหนบ "กิติยากร" ฝังเพชร ท่านหญิงประทานกระดุมเสื้อ อ.ส. ฝังเพชร
       การเดินทางคราวนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้เตรียมการ กำหนดวัน และจัดระยะทางถวายทั้งสิ้น รวมทั้งได้กำหนดให้เดินทางโดยรถยนต์หลายครั้งและหลายตอนด้วย จึงขอร้องไม่ให้มีหีบใหญ่ๆ ให้มีแต่กระเป๋าเดินทาง พอถึงวันออกเดินทางข้าพเจ้าเห็นจำนวนกระเป๋าของท่านและผู้ตามเสด็จเข้าแล้วก็แทบเป็นลมเพราะมีจำนวนตั้ง ๔๐ ใบ ซึ่งข้าพเจ้าต้องคอยรับผิดชอบในเวลาเดินทางและขนขึ้นลงระหว่างรถไฟ เรือ รถยนต์ โฮเต็ล แต่ก็เคราะห์ดีที่ไม่มีการขาดตกบกพร่องเลย
       วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๔๗๓ ระหว่างตามเสด็จในกรมกรมพระจันทบุรีฯ ไปสิงคโป  จิ๋ว (สำเนา) เกิดที่บ้านศาลาแดง เวลา ๔.๔๐ นาฬิกา
       เสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ ได้เรียกข้าพเจ้าไปปรารภวันหนึ่งว่าในปีหน้าท่านจะมีพระชนมายุครบ ๕๘ ปี ซึ่งจะเท่ากับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นท่านอยากจะให้มีงานฉลองเป็นงานใหญ่ และท่านขอมอบให้ข้าพเจ้าเป็นผู้จัดงานนี้ขึ้นตามที่ข้าพเจ้าเห็น สมควร ทรงรับสั่งว่า "ฉันมอบให้แกทุกอย่าง ตามที่แกเห็นควร" ซึ่งข้าพเจ้าได้คิดตระเตรียมไว้บ้างแล้วว่า จะจัดให้สนุกและแปลกๆกว่างานต่างๆที่เคยมีมาและได้กราบทูลตามที่คิดไว้นั้น ซึ่งเป็นที่พอพระทัย
       ข้าพเจ้าไม่มีนิสัยเป็นคนชอบประจบ ระหว่างที่ข้าพเจ้ารับราชการในหน้าที่เลขานุการของเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ นั้น ข้าพเจ้าไม่เคยไปที่วัง นอกจากรับสั่งให้หาหรือมีราชการด่วนจึงจะไป แต่การทำเช่นนั้นก็เป็นที่พอพระทัยเสียด้วย เพราะพระองค์ท่านก็ไม่ชอบให้คนไปกวน ท่านชอบอยู่เงียบๆ เรื่องหยุมหยิมต่างๆ ข้าพเจ้าไม่เคยไปกราบทูลให้เป็นที่ร้อนใจท่าน เราทำอะไรได้เราก็ทำไป อีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้าไม่เคยใส่ร้ายใครเลย ใครดีก็ชมให้ท่านฟัง ใครไม่ดีก็นิ่งเสีย แต่อย่างไรก็ดีรู้สึกว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงพระคลังเกรงใจข้าพเจ้ามาก
       สำหรับผู้ที่จะมาติดต่อกับเสด็จในกรมนั้น ต้องมาติดต่อกับข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้าต้องพิจารณาว่าเรื่องใดควรถึงท่านหรือไม่ ถ้าไม่ควรถึงเราก็ว่าไปเอง ถ้าควรถึงถึงก็คอยหาโอกาสจัดการให้เขา บางทีมีบางคนอยากได้แหนบ "กิติยากร" ติดกระเป๋าเนื้อก็มาขอให้ข้าพเจ้าช่วยจัดการให้ หรือบางคนที่ได้ชั้นเลวหน่อยอยากได้ชั้นดีขึ้นก็มาขอให้ข้าพเจ้าช่วยจัดการก็มี

๑๐๘. เรื่องอื่นๆ ใน พ.ศ.๒๔๗๓

๑. ตั้งแต่กลับมาจากการศึกษาในประเทศอเมริกาแล้ว เคยได้รับเชิญไปรับประทานอาหารในงานรื่นเริง ไปเล่นกีฬาที่สถานทูตอเมริกันในกรุงเทพฯเสมอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่กับราชทูตบางคนที่สนิทสนมกันมากๆก็เคยไปเที่ยวในที่ต่างๆด้วยกันเช่น ไปดูการแข่งม้า ไปรับประทานอาหารที่ต่างๆด้วยกัน เคยมีปาร์ตี้บางครั้งที่สถานทูต อยู่กันตลอดรุ่ง สนุกสนานกันมาก แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนไทยและคณะทูตหรือชาวอเมริกันในเมืองไทย ความสนิทสนมของคนไทยกับชาวต่างประเทศ ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีชาติใดสนิทและเป็นกันเองเหมือนคนอเมริกัน
๒. ผู้ที่เคยศึกษามาจากสหรัฐอเมริกา ในเมืองไทยก็มีจำนวนไม่น้อยแล้ว เราจึงได้มีการพบปะรับประทานอาหารร่วมกัน โดยปรกติเดือนละครั้ง พวกเรามีความสามัคคีกลมเกลียวกันดีมาก ถึงปลายปีก็มีงานเลี้ยงใหญ่ครั้งหนึ่ง ในงานเลี้ยงใหญ่นี้พวกเรามักเชิญครอบครัวเพื่อนฝูงที่สนิทสนมมาร่วมด้วย ภายหลังการเลี้ยงแล้วเรามักจะมีการแสดงเบ็ดเตล็ด มีละครสั้นๆหลายเรื่อง มีดนตรี ทั้งนี้แสดงโดยพวกเราทั้งนั้น สำหรับข้าพเจ้าก็ได้ช่วยแสดงการเล่นดนตรีต่างๆ เป็นประจำ (ได้กลายเป็นงาน AUA)
๓. การเล่นดนตรีเป็นอาชีพสำหรับให้เขาเต้นรำเป็นประจำที่โฮเต็ลพญาไทนั้นก็มีเรื่องขำๆ ที่น่าจดไว้เหมือนกันเช่นคืนหนึ่งพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ไปรับประทานเลี้ยงกันที่โฮเต็ลพญาไท ภายหลังการเลี้ยงท่านก็ลงไปดูเขาเต้นรำกัน ณ สถานที่เต้นรำในขณะดนตรีบรรเลงอยู่นั้น ท่านมองขึ้นไปบนเวทีเห็นข้าพเจ้าเข้า ก็คงไม่นึกว่าจะเป็นข้าพเจ้าไปได้ ที่เล่นดนตรีอยู่บนเวทีนั้น เพราะเป็นถึงคุณหลวงและเป็นเลขานุการเจ้าใหญ่นายโต ถึงกับชวนให้ดูกันแล้วปรารภว่า "คนนั้นเหมือนคุณหลวงสุขุมมาก"
๔. ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นผู้ที่มีส่วนอยู่ด้วยไม่น้อย ในการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงสร้างโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯเสด็จสิงคโปร์ที่ข้าพเจ้าได้ตามเสด็จไปด้วยนั้น เราได้ไปดูภาพยนตร์พูดได้ในโรงที่สร้างขึ้นใหม่ ทั้งใหญ่โตและสวยงาม ข้าพเจ้าจึงได้กราบทูลถามท่านว่า "เมื่อใดกรุงเทพฯ จึงจะมีโรงภาพยนตร์อย่างนี้บ้าง" ซึ่งท่านได้รับสั่งว่า "เห็นจะต้องคิดอ่านบ้างละ" ครั้นเมื่อเรากลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วเสด็จในกรมพระจันทบุรีฯ ได้เล่าปรารภถึงเรื่องโรงภาพยนตร์ที่สิงคโปร์โรงนี้ถวายพระปกเกล้าฯ และกราบทูลว่า "กรุงเทพฯ ควรจะมีดีๆ สักโรงหนึ่ง" พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงได้ทรงพระราชดำริจัดสร้างโรงภาพยนตร์ "เฉลิมกรุง" นี้ขึ้น

๑๐๙. สอบไล่ข้าราชการพลเรือนครั้งที่ ๒ และการไปสอบในภาคเหนือ

       ใน พ.ศ.๒๔๗๓ นี้ทางการได้จัดให้มีการสอบไล่ราชบุรุษเช่นปีก่อน แต่คราวนี้มีผู้สมัครสอบมาก จึงมีวิธีการสอบคัดเลือกโดยสอบเชาวน์ ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบเชาวน์และท่วงทีวาจา การสอบเชาวน์เป็นการสอบข้อเขียน ข้อสอบง่ายๆ มีมากข้อด้วยกันโดยให้เวลาจำกัด ผู้ใดเชาวน์ไหวพริบดีเป็นคนเข้าใจง่ายก็ตอบได้มากและได้ดี การสอบเชาวน์นี้ในประเทศอเมริกานิยมกันมาก ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางนี้ได้ทำตำราการสอบเชาวน์ไว้สำหรับคนในวัยต่างๆ ตั้งแต่เด็กอายุ ๒-๓ ขวบขึ้นไป การสอบของเราซึ่งผู้เข้าสอบอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีนั้น เราได้เปรียบเทียบความยากง่ายในข้อสอบระดับอายุ ๑๔-๑๕ ปีของฝรั่ง แต่ทั้งนี้ก็พึ่งเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งทดลองด้วย จึงวางระดับไว้ค่อนข้างต่ำ และมีความประสงค์ให้เป็นการสอบคัดสวะทิ้ง ในประเทศอเมริกาผู้สมัครเข้าทำงานในห้างร้านต่างๆ ผู้รับสมัครมักจะคัดเลือกโดยวิธีสอบเชาน์อย่างเดียวคือต้องการให้คนที่พูดกันแล้วเข้าใจได้ง่าย เมื่อครั้งมหาสงครามตอนอเมริกาเข้าร่วมสงครามด้วยนั้นมีผู้สมัครเป็นทหารมาก เขาได้คัดเลือกโดยวิธีสอบเชาวน์เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ดีการสอบเชาวน์ของเรานี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้สอบเชาวน์ได้ดีก็ได้คะแนนในวิชาอื่นดีมาก ส่วนการสอบท่วงทีวาจาได้ปฏิบัติเช่นปีก่อน คณะกรรมการมีพระยาศรีบัญชาเข้ามาแทนพระยาอภิบาลราชไมตรี ซึ่งออกไปเป็นราชทูตที่ประเทศอิตาลี การไปสอบหัวเมืองคราวนี้ข้าพเจ้าเลือกไปสายเหนือ คือ มณฑลอยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก และเชียงใหม่
       ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ในต้นเดือนกันยายนไปสอบที่จังหวัดอยุธยาเป็นจังหวัดแรก เมื่อสอบแล้วพักอยู่จังหวัดนั้นหนึ่งวัน จังหวัดอยุธยานี้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๗๕ กิโลเมตร โดยทางรถไฟ ตัวจังหวัดตั้งอยู่บนเกาะ จังหวัดนี้เคยเป็นเมืองหลวง ฉะนั้น จึงมีที่สำคัญๆ สำหรับไปชมหลายแห่ง เช่น พระราชวัง วัด และโบราณสถานที่อื่นๆ เป็นต้น รุ่งขึ้นจับรถไฟไปจังหวัดนครสวรรค์เพื่อสอบที่นั่นอีก ได้ลงรถไฟที่สถานีปากน้ำโพ แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังจังหวัด ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองไปอีกมาก จังหวัดนี้ตลาดค่อนข้างใหญ่โต รู้สึกว่าเป็นจังหวัดที่ครึกครื้นพอใช้จังหวัดหนึ่งเมื่อเสร็จการสอบที่จังหวัดนั้นก็ต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เพราะถ้าจะขึ้นไปพิษณุโลกและเชียงใหม่ก็จะกลับมาไม่ทันกำหนดวันไปต่างประเทศ ฉะนั้น สำหรับพิษณุโลกและเชียงใหม่จึงขอให้เป็นหน้าที่ของพระยาศรีบัญชาไปสอบแทน

กลับที่เรี่มต้น
กลับไปสารบัญ